สวัสดีทุกคนครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักพัฒนาผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี, ศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานด้วยหัวใจ, หรือนักศึกษาผู้กำลังเรียนรู้และมองหาอนาคต — ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในวินาทีนี้ "AI สร้างภาพ" (Generative AI) ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวงการศิลปะและงานสร้างสรรค์ทั่วโลก

เราเห็นภาพสวยงามน่าทึ่งถูกสร้างขึ้นในพริบตาผ่านเครื่องมืออย่าง Midjourney, Stable Diffusion หรือ GPT-4o Image Generation ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน มันเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกัน ก็จุดชนวนความขัดแย้ง กังวล และคำถามทางจริยธรรมมากมายที่ยังไม่มีข้อสรุป
บทความนี้ไม่ได้ตั้งใจจะชี้ว่า AI ดีหรือเลว ถูกหรือผิด แต่ชวนมาร่วมทำความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนเหล่านี้ให้โปร่งใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ — ทั้งเบื้องหลังการทำงานของ AI, ความขัดแย้งด้านลิขสิทธิ์และจริยธรรม, ไปจนถึงบทเรียนจากกรณีศึกษาจริง
และเหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากชวนตั้งคำถามว่า: “ในวันที่ AI สร้างภาพแทนศิลปินได้ เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?” นี่คือจุดที่แนวคิด Co-Art หรือ "การร่วมศิลป์ระหว่างมนุษย์และ AI" อาจเป็นคำตอบใหม่ ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่ออนาคตที่เราทุกคนจะมีส่วนร่วมสร้างไปด้วยกัน
AI สร้างภาพ ทำงานอย่างไร ไม่ใช่แค่ "ก๊อปปี้"?
ก่อนที่เราจะไปถึงประเด็นดราม่าต่างๆ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเข้าใจว่าเจ้า AI สร้างภาพนี่มันทำงานอย่างไรกันแน่ เพราะความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ "AI มันก็แค่เอารูปนู้นรูปนี้มายำๆ รวมกัน" หรือ "มันก็แค่ก๊อปปี้งานคนอื่นมา" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันซับซ้อนกว่านั้นมากครับ
กระบวนการ "เรียนรู้" ไม่ใช่ "จดจำ"
ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาเราฝึกฝนฝีมือ เราก็ต้องฝึกฝนมากใช่ไหมครับ? ซึ่งการหาแรงบันดาลใจก็ทำได้หลายแบบ เช่น อาจจะดูงานอ้างอิง (References) ดูภาพถ่าย ดูงานศิลปินที่เราชื่นชอบ ศึกษาองค์ประกอบ แสงเงา สไตล์ ลายเส้น ซึมซับสิ่งเหล่านี้เข้ามา แล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นแนวทางของตัวเอง
AI สร้างภาพก็ใช้หลักการคล้ายกันที่เรียกว่า "การเรียนรู้ของเครื่อง" (Machine Learning) โดยเฉพาะเทคนิคอย่าง GANs (Generative Adversarial Networks) หรือ Diffusion Models เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนเวลาเราฝึกวาดภาพ พวกเรามักต้องดูภาพอ้างอิงจำนวนมาก แต่แทนที่จะดูงานหลักร้อยหลักพันชิ้นเหมือนมนุษย์ AI จะถูก "ฝึก" (Train) ด้วยชุดข้อมูล (Dataset) ขนาดมหึมา ซึ่งอาจประกอบด้วยรูปภาพและข้อความกำกับนับ พันล้าน ชิ้น!

AI ไม่ได้ "จดจำ" ภาพเหล่านั้นแบบเป๊ะๆ เหมือนการเซฟไฟล์เก็บไว้ แต่มัน "เรียนรู้" รูปแบบ (Patterns) และ ความสัมพันธ์ (Relationships) ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลเหล่านั้น เช่น เรียนรู้ว่า "สุนัข" มักจะมีลักษณะทางกายภาพแบบไหน, "สไตล์ภาพสีน้ำ" มักจะมีลักษณะของสีและพื้นผิวอย่างไร, หรือคำว่า "ทุ่งดอกไม้" มักจะเชื่อมโยงกับองค์ประกอบภาพแบบใด
การ "สร้างใหม่" จากความเข้าใจ

เมื่อเราป้อนคำสั่ง (Prompt) เช่น "Street photography of a dog in a cute and fluffy hat, purple and pink tones, quiet french cafe, diffused lighting" AI จะไม่ได้ไปดึงภาพเจ้าตูบ ภาพหมวก ภาพคน ภาพคาเฟ่ จากฐานข้อมูลมาตัดแปะ แต่จะใช้ "ความเข้าใจ" ที่ได้จากการเรียนรู้รูปแบบและความสัมพันธ์ต่างๆ มา "สังเคราะห์" หรือ "สร้าง" (Generate) พิกเซลใหม่ขึ้นมาทีละส่วน จนกลายเป็นภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริงมาก่อน แต่สอดคล้องกับคำสั่งที่เราป้อนเข้าไป ซึ่งกระบวนการ Generate ก็เหมือนกับการที่เราวาดภาพนั่นเองครับ
ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่ว่า "AI แค่ก๊อปๆๆๆ" จึงไม่ถูกต้องในเชิงเทคนิคครับ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันก๊อปปี้หรือไม่ แต่อยู่ที่ "มันเรียนรู้จากอะไร?" และ "กระบวนการเรียนรู้นั้น ได้รับอนุญาตหรือไม่?" เพราะการที่เราหาแรงบันดาลใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะดูได้จากทุกที่ บางแหล่ง เราก็ต้องทุ่มเงินเพื่อได้แรงบันดาลใจมา ซึ่งจะนำเราไปสู่ประเด็นขัดแย้งต่อไป
ต้นตอความขัดแย้ง
เมื่อเข้าใจแล้วว่า AI เรียนรู้และสร้างภาพอย่างไร เราจะมาเจาะลึกถึง "แก่น" ของปัญหาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศิลปินและเทคโนโลยี AI

ที่มาของข้อมูลฝึกสอน: ปัญหาใหญ่ที่จุดเริ่มต้น
คำถามสำคัญที่สุดคือ: AI เอาข้อมูลมหาศาลมาจากไหนเพื่อใช้ในการเรียนรู้? คำตอบที่น่ากังวลสำหรับศิลปินคือ ข้อมูลเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูก "กวาด" (Scraped) มาจากทั่วทุกมุมของอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์รวมผลงานศิลปะ, โซเชียลมีเดีย, บล็อก, และแหล่งอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าในข้อมูลนับพันล้านชิ้นนั้น ย่อมมีผลงานศิลปะ ภาพถ่าย และงานสร้างสรรค์อื่นๆ ที่ มีลิขสิทธิ์ รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมหาศาล
ประเด็นคือ กระบวนการ "กวาด" ข้อมูลนี้ ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นโดยที่ เจ้าของผลงานไม่เคยรับรู้, ไม่เคยให้ความยินยอม, และไม่เคยได้รับค่าตอบแทนหรือเครดิตใดๆ นี่คือจุดที่ทำให้ศิลปินจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูก "ขโมย" ทรัพย์สินทางปัญญา หยาดเหงื่อแรงกาย และประสบการณ์ที่สั่งสมมา ไปใช้เป็น "วัตถุดิบ" ในการสร้างเครื่องมือ AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ความคิดเห็นที่สะท้อนความรู้สึกนี้อย่างชัดเจนคือ "ถ้า AI ไม่ขโมยงานวาดคนอื่นก็หมดปัญหาแล้ว" มันคือความรู้สึกของการถูกละเมิดสิทธิ์ตั้งแต่ต้นทาง
ช่องว่างทางกฎหมาย: ลิขสิทธิ์ "ภาพ AI" และการคุ้มครอง "สไตล์"
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อเราพิจารณาเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันยังตามเทคโนโลยีไม่ทัน ทำให้เกิดคำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนในระดับสากล:
ภาพที่ AI สร้างขึ้น มีลิขสิทธิ์หรือไม่? ใครเป็นเจ้าของ?
แนวทางในปัจจุบันของบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีคำตัดสินออกมาว่า ผลงานที่สร้างโดย AI เพียงอย่างเดียว (โดยไม่มีการแทรกแซงหรือปรับแต่งจากมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ) ไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ เพราะถือว่าขาด "Human Authorship" หรือความเป็นผู้สร้างสรรค์ที่เป็นมนุษย์ นั่นหมายความว่า ภาพเหล่านั้นอาจกลายเป็น สาธารณสมบัติ (Public Domain) ที่ใครๆ ก็เอาไปใช้ได้? หรือสถานะทางกฎหมายเป็นอย่างไรกันแน่? สำหรับประเทศไทย ยิ่งยังไม่มีแนวทางหรือคำตัดสินที่ชัดเจนในเรื่องนี้ออกมาเลย ทำให้เกิดความสับสนและความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างมาก
กฎหมายคุ้มครอง "สไตล์" หรือ "ลายเส้น" หรือไม่?
โดยทั่วไป กฎหมายลิขสิทธิ์มักจะคุ้มครอง "การแสดงออก" (Expression) ที่เป็นรูปธรรม เช่น ภาพวาด เพลง บทความ แต่ ไม่คุ้มครอง "แนวคิด" (Idea) หรือ "สไตล์" (Style) ที่เป็นนามธรรม อย่างไรก็ตาม การที่ AI สามารถ "เลียนแบบ" (Mimic) สไตล์หรือลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปินคนใดคนหนึ่งได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว เพียงแค่ใส่ชื่อศิลปินลงไปในพรอมต์ มันสร้างความรู้สึกที่แตกต่างจากการที่มนุษย์เรียนรู้และได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ของผู้อื่น ศิลปินรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพากเพียรสร้างมาทั้งชีวิตถูกลดทอนคุณค่าและถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างง่ายดาย ดังความเห็นที่ว่า "มันไม่มีกฎหมาย (คุ้มครองสไตล์) ก็จริงครับ แต่มองยังไงก็รู้สึกแย่ครับ ที่ผลงานโดนเอาไปแค่ไม่กี่คลิ๊ก ถ้าในตอนนี้ไม่มีกฎหมายในด้านนี้ ผมว่าในอนาคตก็ควรจะมี" นี่คือเสียงเรียกร้องถึงความจำเป็นในการทบทวนหรือพัฒนากฎหมายให้ทันกับยุคสมัย
ความเข้าใจผิดเรื่อง "AI เรียนรู้เหมือนมนุษย์"
มีข้อโต้แย้งจากฝั่งผู้ใช้งานหรือผู้สนับสนุน AI ว่า กระบวนการเรียนรู้ของ AI ก็ไม่ต่างจากการที่ศิลปินมือใหม่ฝึกฝน โดยดูงานจากอินเทอร์เน็ตเป็นตัวอย่าง ดังคำถามที่ว่า "แล้วนักวาดมือใหม่ ฝึกวาดรูปจากไหนครับ... ก็จากรูปในเน็ตนิครับ วาดตามผิดๆถูกๆไป จนเก่ง เหมือนกับที่ AI ทำแทบทุกอย่าง"
แม้ว่าในเชิง "กระบวนการ" การเรียนรู้จากตัวอย่างอาจดูคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญใน "ระดับ" (Scale) และ "ความยินยอม" (Consent):
- ระดับ: มนุษย์เรียนรู้และประมวลผลข้อมูลในระดับที่จำกัด แต่ AI สามารถ "ดู" และ "วิเคราะห์" ข้อมูลนับพันล้านชิ้นในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้
- ความยินยอม: ที่สำคัญที่สุดคือ ประเด็นเรื่องการได้รับอนุญาต ศิลปินส่วนใหญ่ยินดีให้ผลงานของตนเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นศึกษา แต่การที่ผลงานถูกนำไปใช้เป็น "ข้อมูลฝึกสอน" ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ (คือตัว AI เอง) เป็นคนละเรื่องกัน การเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์โดยตรง ในขณะที่ AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำไปให้บริการหรือขายต่อ
การเข้าใจความแตกต่างนี้ จะช่วยให้การถกเถียงมีความเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น และเห็นว่าทำไมศิลปินถึงรู้สึกว่าการเปรียบเทียบนี้ไม่สมเหตุสมผลในบริบทของการพัฒนา AI เชิงพาณิชย์
กรณีศึกษา: ดราม่าประกวดปกหนังสือ บทเรียนจากความไม่ชัดเจน
เพื่อให้เห็นภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ลองมาดูกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ ดราม่าเกี่ยวกับการประกวดออกแบบปกหนังสือในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นข่าวและสร้างการถกเถียงในวงกว้าง
สามารถอ่านโพสต์ต้นฉบับได้ที่ โพสต์ของ AnalysisDo
เรื่องราวที่เกิดขึ้น
ในการประกวดดังกล่าว มีผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งส่งผลงานที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี AI และได้รับรางวัลชนะเลิศ สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยมือ โดยใช้เวลา ทักษะ และความพยายามอย่างเต็มที่ พวกเขารู้สึกว่าการแข่งขันไม่ยุติธรรม
วิเคราะห์ปัญหา: ความผิดอยู่ที่ไหน?
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ปัญหาสำคัญในกรณีนี้คือ ความไม่ชัดเจนของเกณฑ์การประกวด กติกาอาจจะระบุเพียงแค่ต้องการผลงานที่ "สวยงาม" หรือ "โดดเด่น" โดย ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงาน
- ในมุมของผู้ใช้ AI: เขาอาจไม่ได้ทำผิดกติกาที่ตั้งไว้ เพราะกติกาไม่ได้ห้าม
- ในมุมของผู้เข้าแข่งขันที่วาดด้วยมือ: พวกเขารู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะกระบวนการสร้างสรรค์ต้องใช้เวลา ความพยายาม และทักษะที่แตกต่างกันมาก การแข่งขันจึงดูเหมือนไม่ได้วัดกันที่ "ฝีมือ" หรือ "ความพยายาม" อย่างแท้จริง
บทเรียนและแนวทางป้องกัน
กรณีศึกษานี้ให้บทเรียนสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการจัดกิจกรรม การประกวด หรืองานจ้างใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในยุค AI:

- กำหนดเกณฑ์และกติกาให้ชัดเจน: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ผู้จัดงานหรือผู้ว่าจ้าง ต้องระบุให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เกี่ยวกับนโยบายการใช้ AI เช่น:
- อนุญาตหรือไม่?
- อนุญาตในระดับใด? (เช่น ใช้ช่วยคิดได้ แต่ห้ามส่งผลงานที่ AI สร้าง 100%)
- ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการใช้ AI หรือไม่? อย่างไร?
- มีการแยกประเภทการแข่งขัน/การพิจารณาหรือไม่?
- ส่งเสริมความโปร่งใส: ควรกำหนดให้ผู้ส่งผลงานต้องเปิดเผยข้อมูลการใช้เครื่องมือ หรือกระบวนการสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและกรรมการ/ผู้ว่าจ้างสามารถพิจารณาได้อย่างเหมาะสม
- ให้ความรู้แก่ทุกฝ่าย: ควรมีการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ทั้งข้อดี ข้อจำกัด และประเด็นทางจริยธรรม แก่ผู้จัดงาน กรรมการ ผู้เข้าแข่งขัน หรือลูกค้า เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจที่ตรงกัน
การป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นทางด้วยความชัดเจน เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความขัดแย้งและความรู้สึกไม่เป็นธรรม
"ร่วมศิลป์" (Co-Art): กรอบจริยธรรมสำหรับศิลปะในยุค AI

ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อกำหนดหรือกติกากลางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ AI ในงานศิลปะ หลายฝ่ายยังคงตั้งคำถาม ถกเถียง และทดลองหาทางออกที่เหมาะสม พวกเราจึงได้พยายามรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์ และสำรวจบทเรียนจากหลายกรณี เพื่อหาคำตอบร่วมกันว่า
"เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไรได้อย่างสงบ สร้างสรรค์ และมีเกียรติ?"
คำตอบของเรา ไม่ได้อยู่ที่การแบนเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การร่วมกันออกแบบ "จรรยาบรรณ" (Code of Ethics)
หรือกรอบแนวทางที่ทุกฝ่ายสามารถยึดถือร่วมกันได้ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง เคารพซึ่งกันและกัน และไม่ลดทอนคุณค่าของใคร
เป้าหมายของกรอบแนวคิด ร่วมศิลป์ (Co-Art) คือ
การสร้าง “จุดยืน” ที่ชัดเจน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ พร้อมไปกับการปกป้องสิทธิ์ ความตั้งใจ และคุณค่าของมนุษย์ในกระบวนการสร้างสรรค์
หลักการพื้นฐานของ “ร่วมศิลป์”
แม้ AI จะได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมหาศาล และสามารถสร้างงานออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่นั่นไม่ได้แปลว่า “คนสร้างด้วย AI” ไม่ทุ่มเท หรือขาดความคิดสร้างสรรค์
ในทางกลับกัน การ ออกแบบ prompt, การเข้าใจกลไกของโมเดล, หรือการรีไฟน์ผลงานจาก output ก็ล้วนต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว
ในขณะเดียวกัน “คนวาดด้วยมือ” ก็ไม่ได้ล้าหลังหรือด้อยเทคโนโลยี เพราะสิ่งที่มนุษย์ถ่ายทอดได้—จากอารมณ์ ประสบการณ์ ไปจนถึงแรงบันดาลใจ—ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของงานศิลปะ
เราจึงไม่ควรดูถูกกัน ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือแบบใด ทุกฝ่ายมีคุณค่า และสามารถอยู่ร่วมกันได้ หากเราต่าง “ฟัง” และ “เคารพ” ในสิ่งที่อีกฝ่ายยืนอยู่
เพื่อให้มนุษย์และเทคโนโลยีสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในโลกแห่งศิลปะยุคใหม่ แนวคิดเรื่องจรรยาบรรณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยสามารถยึดหลักพื้นฐานเหล่านี้เป็นแนวทางร่วมกันได้:
1. ความโปร่งใส (Transparency)
การใช้ AI ควรเป็นสิ่งที่ “เปิดเผยได้” อย่างตรงไปตรงมา ทั้งในแง่ของกระบวนการสร้างภาพ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการฝึก AI ไปจนถึงบทบาทของ AI ในงานศิลปะหนึ่งๆ ผู้ใช้ควรแสดงออกอย่างชัดเจนว่าส่วนใดเกิดจากมนุษย์ และส่วนใดเป็นผลงานที่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจบริบทที่แท้จริงและสามารถตัดสินคุณค่าของผลงานได้อย่างมีข้อมูล
2. การเคารพสิทธิ์ (Respect for Rights)
การสร้างสรรค์งานด้วย AI ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลิขสิทธิ์ของภาพหรือผลงานต้นฉบับที่ใช้ในการฝึกโมเดล, สิทธิในภาพลักษณ์บุคคล, หรือแม้แต่เจตจำนงของศิลปินต้นฉบับ การเคารพสิทธิเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในโลกดิจิทัล และช่วยให้การใช้งาน AI ดำเนินไปอย่างมีจริยธรรม
3. ความเป็นธรรม (Fairness)
ทุกคนควรมีโอกาสเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งต้องระมัดระวังไม่ใช้ AI ในลักษณะที่สร้างความได้เปรียบแบบไม่เป็นธรรม เช่น การใช้ AI ผลิตงานในปริมาณมหาศาลเพื่อตัดราคาศิลปินอิสระ หรือการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน การทำให้เวทีสร้างสรรค์เป็นพื้นที่ที่ “แฟร์” ต่อทุกฝ่ายคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกัน
4. ความรับผิดชอบ (Accountability)
ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน AI ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลงานของตนเอง ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือจิตใจของผู้ชม การไม่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเมื่องานที่สร้างด้วย AI นำไปสู่ความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง หรือแม้แต่ความเสียหายทางศีลธรรม เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและจริยธรรมของผู้สร้างสรรค์
5. การส่งเสริมคุณค่ามนุษย์ (Upholding Human Value)
แม้ว่า AI จะสามารถสร้างผลงานได้ในระดับที่น่าทึ่ง แต่หัวใจของศิลปะคือ “มนุษย์” — ความคิดสร้างสรรค์, ความรู้สึก, ประสบการณ์ และบริบทที่เฉพาะเจาะจงต่อแต่ละบุคคล งานศิลปะที่แท้จริงควรเป็นเวทีให้มนุษย์ได้เปล่งเสียง ไม่ใช่ถูกกลบเสียงโดยเทคโนโลยี ดังนั้น การใช้ AI ควรอยู่ในฐานะ "ผู้ช่วย" ที่ส่งเสริม ไม่ใช่แทนที่คุณค่าของมนุษย์ในงานสร้างสรรค์
แนวทางการนำหลัก "ร่วมศิลป์" (Co-Art) ไปปรับใช้
เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างศิลปะและเทคโนโลยี AI ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถมีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดทิศทางของอนาคต เราจึงขอเสนอแนวทางเบื้องต้นต่อไปนี้:
1. สำหรับผู้ใช้งาน AI (AI Users / Creators)
- เปิดเผยเสมอ
ระบุให้ชัดเจนเมื่อผลงานสร้างหรือได้รับความช่วยเหลือจาก AI โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับเชิงพาณิชย์หรือการประกวด เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเข้าใจที่ถูกต้อง - เคารพสไตล์ของผู้อื่น
หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่ในพรอมต์เพื่อเลียนแบบสไตล์อย่างจงใจ มุ่งเน้นการพัฒนาสไตล์ของตนเองและเคารพความพยายามของผู้อื่น - ใช้เพื่อเสริม ไม่ใช่แทนที่
ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยคิด ช่วยร่างไอเดีย หรือขยายศักยภาพในบางด้าน แล้วต่อยอดด้วยฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง - ใช้อย่างรับผิดชอบ
หลีกเลี่ยงการใช้ AI ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ผิดกฎหมาย หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น
2. สำหรับศิลปิน (Artists)
- เรียนรู้และปรับตัว
ทำความเข้าใจเทคโนโลยี AI เพื่อสามารถรับมือ ปกป้องสิทธิ์ของตน หรือแม้แต่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม - ชูจุดแข็งของมนุษย์
เน้นคุณค่าที่ AI เลียนแบบไม่ได้ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ความหมายส่วนตัว และเรื่องราวเบื้องหลังผลงาน - ปกป้องผลงานของตน
ใช้มาตรการป้องกันเท่าที่สามารถทำได้ เช่น ลายน้ำ การตั้งเงื่อนไขการใช้งาน หรือการใช้เครื่องมือ Opt-out จากการฝึกโมเดล - มีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคต
แสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมในการรณรงค์หรือเสนอแนวทางที่นำไปสู่มาตรฐานที่เป็นธรรมในวงการ
3. สำหรับผู้พัฒนาและแพลตฟอร์ม AI (Developers & Platforms)
- ใช้ข้อมูลฝึกสอนอย่างมีจริยธรรม
ให้ความสำคัญกับการขออนุญาตหรือสร้างกลไกการชดเชยที่เป็นธรรม เช่น ระบบ Opt-in / Opt-out หรือการแบ่งรายได้ให้เจ้าของผลงาน - สร้างความโปร่งใสในระบบ
พัฒนาระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ หรือเครื่องมือที่ช่วยระบุว่าผลงานใดเกิดจาก AI - ป้องกันการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์
มีมาตรการคัดกรองหรือจำกัดการใช้โมเดลในการสร้างเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตราย หรือบิดเบือนข้อมูล
4. สำหรับผู้กำหนดโจทย์ (ลูกค้า / ผู้จัดงาน / สถาบัน)
- กำหนดกติกาที่ชัดเจน
ระบุแนวทางเกี่ยวกับการใช้ AI ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่น อนุญาตหรือไม่อนุญาตในระดับใด จำเป็นต้องเปิดเผยหรือไม่ เพื่อป้องกันความคลุมเครือหรือข้อขัดแย้งภายหลัง - ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจ
ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ AI และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องแก่ผู้เข้าร่วม ผู้ชม หรือผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ - สร้างความเป็นธรรมในการตัดสิน
พิจารณากระบวนการสร้างสรรค์เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์ ไม่เพียงแต่ผลลัพธ์สุดท้าย เพื่อให้การแข่งขันหรือการคัดเลือกผลงานสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของความพยายาม
บทสรุป
การเข้ามาของ AI สร้างภาพ เปรียบเสมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าสู่วงการศิลปะ มันนำมาซึ่งทั้งความตื่นเต้น ความหวัง และในขณะเดียวกันก็สร้างความหวาดหวั่น ความไม่แน่ใจ และคำถามที่ยังไร้คำตอบ การจะหาทางออกจากจุดเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และคงไม่มีคำตอบสำเร็จรูปที่ถูกใจทุกคน
แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการเริ่มต้นด้วย "ความเข้าใจ" — เข้าใจเทคโนโลยี เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น และเข้าใจว่าทุกฝ่ายต่างมีเหตุผล มีความกลัว และความฝันของตัวเอง หากเราสามารถลดอคติ เปิดใจรับฟัง และกล้าที่จะตั้งคำถามกับทั้งความเชื่อเดิมและความเป็นไปได้ใหม่ๆ เราก็มีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีสติ
จากจุดนั้น เราจำเป็นต้องร่วมกันสร้าง "จรรยาบรรณ" และ "กติกา" ที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อให้เทคโนโลยีและมนุษย์สามารถสร้างสรรค์ร่วมกันได้อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่ในฐานะ "เพื่อนร่วมศิลป์"
แนวคิด Co-Art จึงถูกเสนอขึ้นมา ไม่ใช่ในฐานะคำตอบสุดท้าย แต่ในฐานะ "กรอบความคิด" ที่เปิดให้มนุษย์และ AI สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเคารพซึ่งกันและกัน — เป็นความพยายามในการหาจุดสมดุลระหว่างการเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ กับการรักษาคุณค่าและปกป้องสิทธิ์ของศิลปิน และความเป็นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังงานศิลปะ
หากเราทุกคน — ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้ใช้งาน ศิลปิน ผู้กำหนดนโยบาย หรือผู้รับชม — ต่างมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตนี้ด้วยจิตสำนึกที่ดี เราก็จะสามารถเปลี่ยนความสั่นสะเทือนให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ และพาโลกศิลปะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ "อยู่ร่วมกับ AI" แต่คือการ สร้างงานร่วมกับ AI อย่างมีหัวใจ ครับ